วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

บันทึกการเดินทาง: ตอน ตามหาญาติ ณ เมืองสิบสองปันนา

ทริปนี้ชื่อว่า "ตามหาญาติ ณ เมืองสิบสองปันนา" 

ที่มาของการเดินทาง 

ห่างหายไปนาน หลังจากที่จบทริปไหว้พระที่ประเทศพม่า ซึ่งเป็นอีกทริปที่สนุกสนาน และเป็นทริปที่สมดังตั้งใจ ซึ่งก่อนที่จะไปพม่า เราคุยเรื่องการไปเที่ยวสิบสองปันนากันไว้ก่อนแล้ว เนื่องจากที่ได้หาข้อมูล จึงพอที่จะทราบว่าการเดินทางไปสิบสองปันนานั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบาก และต้องใช้เวลาค่อนข้างยาวกว่าทริปอื่น ๆ ต้องลางานหลายวัน ทีแรกคุยกันว่าเราจะเดินทางไปกันเองจะไม่ซื้อทัวร์ หลังจากหาข้อมูลอย่างละเอียด อ่านรีวิวบางกระทู้ถึงการผจญภัยและยังมีปัจจัยอื่นอีกหลาย ๆ อย่าง ที่ต้องมาคิดทบทวน หลายตลบ ด้วยสังขารเพราะอายุเราก็ไม่น้อยแล้ว จะให้มาต่อรถต่อลากันหลายทอดหลายต่อ มันคงจะเที่ยวไม่สนุกแน่ ถ้าต้องทุลักทุเลขนาดนั้น และยังได้ข้อมูลมาอีกว่า ไปจีนพูดภาษาจีนไม่ได้จะค่อนข้างลำบาก ดังนั้นเมื่อเจอราคาโปรที่ไม่ต่างกันกับราคาที่ได้ตั้งไว้จึงตัดสินใจซื้อทัวร์ จากงานท่องเที่ยวไทย ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2559 และได้กำหนดเดินทาง เดือนพฤษภาคม 2560 

มารู้จักเมือง สิบสองปันนา
จากที่อ่านหนังสือก็พอได้ทราบ ที่ตั้งเขตสิบสองปันนาตั้งอยู่ทางตอนใต้ ของมณฑลยูนนานของประเทศจีน มีพรมแดนติดกับประเทศลาว และพม่าทางทิศตะวันออก ใต้ และตะวันตก โดยแบ่งเป็นพรมแดนที่ติดกับลาวและพม่า 677.8 และ288.5 กิโลเมตร ตามลำดับ ขนาดพื้นที่ 19,200 ตารางกิโลเมตร ประชากรประมาณ 800,000 คน มีชนชาติต่าง ๆ รวม 13 ชนชาติ ได้แก่ ไท ฮานี ลากู ปู้หลาง จี เย้า แม้ว มุสลิม อี้และฮั่น ชนชาติไท มีจำนวนมากที่สุด คือ 270,0000 คน เขตการปกครอง แบ่งเป็น 3 อำเภอ คือ จิ่งหง เมิ่งไห่และเมิ่งล่า ชื่อ 12 ปันนา หรือพันนา ต่างปกครองตนเอง ประกอบด้วย ปันนาเมืองล่า ปันนาเมืองพง ปันนาเชียงตอง ปันนาอีงู ปันนาอูเหนือ อูใต้ ปันนาอีอู ปันนาเมืองลวง ปันนาเมืองฮาย ปันนาเมืองหน ปันนาเมืองแจ้ ปันนาเมืองงาด และปันนาม่อนต่าน และทราบหรือไม่ว่าสิบสองปันนา เคยมีกษัตริย์ปกครองเมือง ถึง 44 พระองค์


ทำไมต้องไปสิบสองปันนา

บางทีก็แอบคิดในใจว่า สงสัยชาติที่แล้วเกิดเป็นคนสิบสองปันนา นั่นซิ ทำไมเราต้องอยากไปสิบสองปันนา แล้วสิบสองปันนามันอยู่ที่ไหน ที่นั่นมีอะไร หลังจากเคยได้ยินชื่อชนชาติสิบสองปันนาจากที่เคยได้เรียนในวิชาประวัติศาสตร์ กลุ่มชนสิบสองปันนาเป็นชนชาวไทและเป็นพี่น้องชาวไทยที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน  เป็นดินแดนที่ห่างไกลผู้คน ลิบลับ ไม่ค่อยมีใครเดินทางไปถึง และยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นการได้ไปเรียนรู้วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ การแต่งกาย ภาษา และอื่นๆของคนในท้องถิ่นนั้น ๆ เคยใฝ่ฝันว่าสักวันจะต้องไปเที่ยวที่สิบสองปันนาให้ได้สักครั้งหนึ่ง การได้ไปชื่นชมความงดงามของสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ แหล่งประวัติศาสตร์ เป็นวัฒนธรรมเก่าแก่ที่ยังคงสืบทอดกันมายาวนาน

การเตรียมตัวเดินทาง
หลังจากที่ได้จองทัวร์ไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงขั้นตอนการกำหนดวันเดินทางโดยต้องคุยรายละเอียดกับทางทัวร์ก่อน จึงจะทำการจองตั๋วเครื่องบินไปเชียงราย เราจองโปรของหางแดง ราคา 600 กว่าๆ และขากลับจองพี่สิงโต ราคาแพงกว่าเยอะ เกือบ 1300 บาท เมื่อจองครื่องเรียบร้อยก็ต้องเข้าไปจองที่พัก ทริปนี้เราจองที่พักที่เชียงของ โรงแรมน้ำโขงริเวอร์ไซต์รีสอร์ท  เพราะต้องค้างที่เชียงของ 1 คืน เพื่อไปเริ่มทริปเชียงของ ให้ทันด่านเปิด 8 โมง ของวันถัดไป เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาจึงต้องเริ่มทริปเชียงรายก่อน 1 วัน ทัวร์สิบสองปันนา 4 วัน 3 คืน รวมเป็นทริปยาว 5 วัน 4 คืน นี่น่าจะเป็นทริปแรกที่ยาวที่สุดล่ะ ต้องลาพักร้อนถึง 3 วัน ที่สำคัญต้องมาวุ่นวายกับการถ่ายรูปทำVISA กรุ๊ป และเตรียมรูปถ่าย 2 นิ้ว 2 รูป(รายละเอียดมากกว่านั้น) ในวันเดินทาง ทางตม.จีนค่อนข้างซีเรียส (เนื่องจากการทำวีซ่าไปจีนเราไม่ได้ไปติดต่อทำที่สถานทูตจีน แต่ใช้รูปถ่ายเพื่อไปทำวีซ่าหน้าด่านโดยผ่านทางไกด์จีน) ทริปนี้เรามีสมาชิก 10 คนและเด็ก 1 คน 

สิงห์ปาร์ค


Day 1 : ทริปเชียงราย-เชียงของ

เรานัดเจอกัน 6 โมงเช้า ที่สนามบินดอนเมือง เมื่อสมาชิกครบก็รีบไป check in เครื่องออกตั๋ว และรอโหลดกระเป๋า อันนี้น้ำหนักเกินก็ต้องหิ้วขึ้นเครื่องกันไป จากสนามบินดอนเมืองไปยังสนามบินแม่ฟ้าหลวงจังหวัดเชียงรายด้วย เกือบ 9 โมงเช้า นัดรถตู้มารับ ได้แวะทานอาหารเช้าที่ตัวเมืองเชียงราย  แวะสักการะอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายเพื่อเป็นสิริมงคลก่อนออกเดินทางไกล หลังจากนั้นออกเดินทางไปแวะเที่ยว วัดร่องขุ่น เป็นวัดพุทธที่สวยงาม ออกแบบและก่อสร้างโดยอ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์  ตั้งใจมาแวะ ไร่บุญรอด (สิงห์ปาร์ค) ชมไร่ชาที่เขียวเป็นทุ่งขนาดใหญ่ และแวะทานอาหารกลางวันที่ร้าน ภูภิรมย์ (แนะนำ) เป็นร้านที่มีบรรยากาศสวยงาม อาหารเหมาะสมกับราคา หลังจากนั้นไปยังตลาดสามเหลี่ยมทองคำ แวะสักการะวัดพระธาตุจอมกิตติ  เชื่อว่าถ้าได้กราบไหว้และตั้งจิตอธิษฐานจะอุดมไปด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ ลาภยศผู้คนสรรเสริญ รถตู้ส่งเข้าพัก ณ  น้ำโขงริเวอร์ไซต์รีสอร์ท  เป็นโรงแรมที่ติดริมแม่น้ำโขง บรรยาศดีมาก มื้อค่ำเราทานอาหารของโรงแรม ร้านอาหารฝ้ายเงิน อาหารรสชาติอร่อย ราคาน่าคบ มีบรรยากาศค่ำคืนที่สวยงาม มองเห็นฝั่งประเทศลาวสวยงาม (แนะนำ) 



Day 2 : เชียงของ-ด่านบ่อแก้ว-หลวงน้ำทา-บ่อเต็น-บ่อหาน-เมืองหล้า-สิบสองปันนา

07.00 น. เก็บสัมภาระและรีบทานอาหารเช้าของโรงแรม เพื่อเตรียม check-out  นัดรถตู้มารับเพื่อไปยังด่านเชียงของให้ทันก่อน 8 โมงเช้า ไกด์ไทยไปรอรับอยู่ที่นั่น เตรียมพาสปอร์ตและบัตรประจำตัวประชาชน รอด่านเปิด เมื่อถึงเวลาเราก็ต้องเดินข้ามฝั่งไปยังฝั่งลาว เพิ่งทราบว่ามีจอยกรุ๊ป อีก 3 ท่านที่จะต้องร่วมเดินทางไปกับเรา การเดินทาง จากด่านเชียงของ สะพานมิตรภาพไทยลาวแห่งที่ 4 เชียงของ เส้น R3A และขึ้นรถ บขส.จากเชียงของไปยังด่านบ่อแก้ว ที่ห้วยทราย เมื่อถึงด่านบ่อแก้ว มีไกด์ลาวมารับ การเดินทางช่วงแรกจากด่านบ่อแก้วไปยังบ่อเต็น เส้นทางเป็นภูเขาตลอดทาง ไกด์ลาวได้เล่าเรื่องสองข้างทาง สถานที่ต่าง ๆ ในประเทศลาว ฟังสนุกสนาน ระยะทาง 230 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 4-5 โมง ระหว่างทางแวะเข้าห้องน้ำที่บ้านน้ำฟ้า เป็นห้องน้ำของร้านค้าแบบชาวบ้าน เข้าๆ ไปอย่าคิดมาก เพราะถ้าไม่เข้าก็ต้องอั้นกันนานมากผ่านเมืองเวียงภูคา ซึ่งเป็นเมืองเหมืองแร่ลิกไนซ์ สัมผัส วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนพี่น้องชาวลาว รวมทั้งหมู่บ้านชาวเขาเผ่าต่างๆ ได้แก่ ลาวเทิง ลาวสู ลาวลุ่ม มองเห็นป่าเขาอันอุดมสมบูรณ์ 

12.00 น.แวะทานกลางวันที่ร้านอาหารปางเดื่อ ที่เมืองหลวงน้ำทา หลังจากอิ่มท้องและก็รีบทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย ต้องรีบเดินทางต่อไปยังบ่อเต็นและบ่อห่าน ไกด์จีนจะมารับช่วงต่อจากไกด์ลาว และดำเนินการในเรื่อง Visa จะต้องใช้รูปถ่าย 1 ใบ พร้อมพาสปอร์ต  ขอบอกว่าที่ด่านนี้โหดมาก แต่ละคนดุดันยังกะมาเฟีย แถมยังมีทหารอยู่เต็มไปหมด  ใครอะไรนิดหน่อยแม่มมันด่าเสียงดัง  ไม่เว้นหน้าใครทั้งนั้น  ตรวจอย่างละเอียด ห้ามถ่ายรูปที่ภายในด่านเด็ดขาด อันนี้ไกด์สั่ง ไม่งั้นจับติดคุกจีน เออกุกลัว ไม่ถ่ายก็ได้ ที่นี่ใช้เวลานานพอสมควร หลังจากที่ทุกคนผ่านตม.เรียบร้อย ออกเดินทางต่อไป ช่วงที่ 2 ประมาณ 240 กิโลเมตร เส้นทางสองข้างทางปลูกยางพารา และกล้วยหอม ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักยาวตลอดแนวไปจนถึงเมืองหล้า สภาพเส้นทางจะทั้งดีและไม่ดี เนื่องจากกำลังซ่อมทาง บางช่วงรถติดนานมาก เพราะทางค่อนข้างแคบ อีกทั้งเวลาจีนเร็วกว่าเวลาที่ไทย 1 ชั่วโมง ทำให้การเดินทางล่าช้าไม่เป็นไปตามแผน 

17.00 น.ไกด์ต้องแวะพาเราทานอาหารเย็นที่เมืองหล้า เรียกได้ว่าเป็นการทานอาหาร 3 มื้อ 3 ประเทศเป็นอีกวันที่น่าจดจำในชีวิต  หลังจากนั้นต้องรีบเดินทางต่อจนถึงเวลา 5 ทุ่มครึ่ง เราก็ถึงตัวเมืองเชียงรุ้ง สิบสองปันนา นับว่าเป็นการเดินทางครั้งที่ใช้เวลานานที่สุดในชีวิต รวม 16 ชั่วโมง เข้าพักที่โรงแรมเอทสยาม เป็นโรงแรมที่มีผู้เข้าพักส่วนใหญ่เป็นคนไทย บางคนพูดภาษาไทยได้ เป็นโรงแรมที่สะอาด ห้องพักมีขนาดใหญ่มาก 

 23.45 น. มาพูดถึง หม่าล่า มาถึงกลางดึกแล้วเราก็ยังอยากจะเห็นสีสันกลางคืนของเมืองสิบสองปันนา มาที่นี่ต้องมากินอาหารพื้นเมืองที่นิยม เดินออกมาแถวหน้าโรงแรมไปกินปิ้งย่าง เรียกว่า หม่าล่า เป็นการนำเอาเนื้อสัตว์ เช่น ไก่ หมู ปลา กุ้ง ปลาหมึก และผักต่าง ๆ มาเสียบไม้แล้วปิ้งบนเตา ใส่ผงหม่าล่า หม่าล่า  คือ เครื่องเทศชนิดหนึ่งของประเทศจีน เป็นสมุนไพรเฉพาะของมณฑลเสฉวน โดยคำว่า "หม่า" แปลว่า ชา "ล่า" แปลว่า เผ็ด ลักษณะเหมือนพริกป่นในไทย สำหรับตัวเองคิดว่ากลิ่นฉุน รู้สึกแปลกๆ เหมือนกลิ่นเครื่องเทศที่มีขมิ้น ราคาไม้ละ 1-2 หยวน ทดลองกินผัดหมี่เส้นคล้ายๆ เส้นหมี่โคราชบ้านเรา รสชาดคล้ายๆผัดไท  แต่ไม่มีรสหวาน จานละ 8 หยวน (ใช้เงินหยวน 5 บาท= 1 หยวน) กลับมาพักผ่อนดึกมากแล้ว เดินทางต่อพรุ่งนี้





Day 3 : วัดป่าเจ- วัดหลวงเมืองลื้อ-ดูนกยูง-หมู่บ้านจิ้งฟ้า(บ้านตีมีด)-โรงงานหยก-ดูโชว์นางเงือก-โชว์ผีเสื้อ-ถนนคนเดิน
วัดป่าเจ

เริ่มโปรแกรมเที่ยววันแรก หลังจากทานมื้อเช้าที่โรงแรม ถนนจะมีสัญลักษณ์นกยูงตลอดเส้นทาง เราออกเดินทางตั้งแต่เช้าไปยัง วัดป่าเจหรือวัดป่าเชต์มหาราชฐาน (พุทธหินยาน เถรวาท) เป็นวัดแห่งเดียวของชาวไทลื้อทีใช้เป็นศูนย์รวมในการประกอบพิธีทางศาสนา และเป็นวิทยาลัยพุทธศาสนาของมณฑลยูนนาน ที่นี่มีมณฑปแปดเหลี่ยมที่สวยงาม เป็นวัดที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่ เมื่อเข้าไปข้างในมีการสวดมนต์ไหว้พระ เหมือนกับวัดที่บ้านเรา ทำให้รู้สึกดีที่ได้มากราบไหว้ ถือได้ว่าเป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์มากๆในเมืองเชียงรุ้ง 
วัดหลวงเมืองลื้อ

วัดหลวงเมืองลื้อ พระพุทธรูปสูง 49 เมตร ปางคันธารราฐ หรือปางขอฝน แต่คนที่นั่นเรียกขำๆว่า ปางโอเค โดยใช้งบประมาณในการสร้างถึง 350 ล้านหยวน การเดินทางขึ้นไปต้องนั่งรถไฟฟ้า ด้านบนมีจุดชมวิวที่จะได้เห็นเมืองสิบสองปันนาได้อย่างชัดเจน และเดินลงมาตามบันไดวัดหลวงเมืองลื้อ ที่มีรูปปั้นพระภิกษุสงฆ์ถือบาตร มีความสวยงาม 



หลังจากนั้นเดินลงมาด้านล่างไปชมการแสดงนกยูง จะมีการเป่านกหวีดเพื่อให้ฝูงนกยูงบินลงมา ที่นี่มีเยอะมีนกยูงเยอะมากแต่นกยูงก็ขนหลุดซะส่วนใหญ่  สามารถเข้าไปสัมผัสนกยูงได้ ให้อาหารได้ เสียค่าเข้า คนละ 10 หยวน (หรือจะดูอยู่ห่าง ๆ แบบไม่เสียเงินก็ได้จ้า)


หมู่บ้านจิ้งฟ้า
หมู่บ้านมีดจิ้งฟ้า  เป็นหมู่บ้านที่เคยสืบทอดการผลิตมีดสำหรับเจ้าเมืองในอดีต ผู้สาธิตคืออีนางตัวดีที่พูดภาษาไทยได้ชัดมาก มีชื่อว่า อีแอน คำว่าอีไม่ใช่คำหยาบแต่เป็นภาษาดั้งเดิมที่ยังใช้อยู่ อีแอนพูดเก่งมาก  เธอเล่าให้ฟังว่า หมู่บ้านนี้ทุกบ้านจะมีอาชีพตีมีดขาย การกำหนดราคาจะเท่ากันทุกบ้าน ขายได้จะเอาเงินมารวมกัน และแบ่งเงินกันเหมือนกับสหกรณ์ แอนรับหน้าที่สาธิตการใช้มีดมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว บรรยายถึงคุณสมบัติของมีดอันโดดเด่น ลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากมีดทั่วไป ชมการสาธิตคุณสมบัติของมีดและเลือกซื้อได้ตามอัธยาศัย





หลังจากนั้นไปชมบริษัทหยกที่ใหญ่ที่สุดในสิบสองปันนา ซึ่งจำหน่ายในราคาถูก เป็นหยกคุณภาพ ใครใคร่ซื้อถูกใจก็ซื้อกันไป  




โชว์นางเงือก

เล่นหวาดเสียวหน่อย
เที่ยวสวนน้ำ (ค่าเข้าอย่างแพงอ่ะ)
ทริปนี้เรามีโปรแกรมเที่ยวสวนม่านทิง แต่เหตุที่ปิดปรับปรุง ทางไกด์จึงพาไปสวนสนุกประมาณสวนน้ำใหญ่ ๆ บ้านเรา เปิดบริการใหม่ อากาศค่อนข้างร้อน เพื่อชมการแสดงโชว์นางเงือก ได้ยินทีแรกก็แปลกๆพอได้ดูก็ตื่นตาตื่นใจ เป็นโชว์ที่จัดยิ่งใหญ่อลังการพอสมควร มาสวนสนุกก็ขอเล่นเครื่องเล่นซักอย่าง และต่อด้วยชมการแสดงผีเสื้อเป็นการแสดงสเก็ตน้ำแข็งที่สวยงาม

ถนนคนเดิน
วันนี้เดินทั้งวันก็ยังไม่เหนื่อย หลังจากอาหารค่ำ ไกด์พาเราไปเดินถนนคนเดินคล้าย ๆ ตลาดนัดกลางคืนบ้านเรา มีอาหาร เสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า ของตกแต่งบ้าน งานศิลปะ เป็นแหล่งรวมวัยรุ่นและคนที่เดินส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว 


Day 4 : ตลาดเช้าไทลื้อ-หมู่บ้านอนุรักษ์วัฒนธรรมไทลื้อ-บจก.ไต่จู่ถัง-ชิมชา-เมืองหล้า


09.00 น. เก็บสัมภาระขึ้นรถ แวะเที่ยวอีกวัน หลังจากทานอาหารเช้าที่โรงแรม ออกเดินทางไปตลาดเช้าไทลื้อ ตลาดเช้าที่นี่คึกคักมาก คนเยอะ ของขายเยอะ ผักผลไม้ คล้ายๆ บ้านเรา แต่ดูสดกว่า ของแห้งราคาถูก เช่น เมล็ดทานตะวัน เห็ดหูหนูดำ และอื่น ๆ มากมาย มองเห็นร้านเป็ดย่างตามที่ไกด์บอก ไปถามราคาจากไกด์ทัวร์อื่นจำได้ว่าพาคนไทยมา ราคาตัวละ 130 บาท จริงหรือเนี่ย อดค่ะ คิวยาวมาก เดินชมเพลิน ๆ ได้ขนมของกิน มาตุนไว้สำหรับเดินทางไกล เนื่องจากวันนี้ต้องนั่งรถกลับมายังเมืองหล้า





หมู่บ้านอนุรักษ์วัฒนธรรมไทลื้อ ที่เคยเรียกหมู่บ้านไทลื้อม่านติ้ว  ที่ยังคงมีให้เห็นอยู่เพียงแห่งเดียวในสิบสองปันนา มีวัดไทลื้อที่เป็นแบบโบราณ ชื่อวัดม่านติ้ว และในหมู่บ้าน ยังมีชาวไทลื้ออาศัยอยู่ บรรยากาศที่นี่สวยงามมาก ได้มาเห็นมันบอกไม่ถูก หลงรักความงามของบ้านที่มีขุนเขาล้อมรอบ มีความเก่าที่เป็นมนต์ขลัง มองไปไม่น่าเบื่อเลย 


หลังจากนั้นไปนวดเท้าที่บริษัทขายยา บัวหิมะ เลือดมังกร โกเอี๊ยะ และน้ำมันชะมด และไปชิมชาผู่เอ้อ ชาเลิศรสและมีชื่อเสียงของประเทศจีน ที่มีทั้งชาเก่า และชาใหม่ สรรพคุณแตกต่างกัน  ช่วยรักษาโรคได้สารพัด เบาหวาน ลดความอ้วน ชะลอความชรา ลดความดัน ซื้อกันเกือบทุกคนเหมือนกัน

ชิมชาผู่เอ้อ
จบทริปในเมืองเราต้องเดินทางกลับไปค้างที่เมืองหล้า เมื่อไปถึงเมืองหล้าก็ต้องไปสำรวจเมืองหล้า ในยามราตรี จะเห็นร้านขายของแบรนด์เนมเยอะมาก แต่ไม่มีใครซื้อ


เมืองหล้า
Day 5 : เมืองหล้า-บ่อห่าน-บ่อเต็น-หลวงน้ำทา-บ่อแก้ว-เชียงของ-สนามบินเชียงราย-ดอนเมือง

เตรียมเก็บสัมภาระและรีบทานอาหารเช้าของโรงแรม เตรียม check-out เดินทางกลับเส้นทางเดิม เพื่อออกเดินทางกลับเพื่อมาให้ทันเที่ยวบินขากลับที่เชียงราย ถึงสนามบินแม่ฟ้าหลวงยังมีเวลาเหลือ จบทริปได้อย่างสวยงาม
ปิดทริปที่ด่านบ่อหาน

บทสรุปส่งท้าย
ตั้งใจมาเที่ยวที่สิบสองปันนา เป้าหมายคือ ได้มาเห็นวัฒนธรรม การแต่งกาย ความเป็นอยู่ ที่ยังคงอนุรักษ์ไว้ ภาพที่คิดมาคือประมาณนั้น แต่สิ่งที่ได้เห็น ได้สัมผัสคือ สิบสองปันนาเป็นเมืองใหม่มีความเจริญรุ่งเรืองและมีความทันสมัย มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โรงแรม ร้านอาหาร คอนโดมีเนียม อาคารบ้านเรือนเป็นออกแบบสถาปัตยกรรมตามแบบไทลื้อ มีความเป็นไทผสมจีน โดยรัฐบาลก่อสร้างบ้านให้ มีสัญลักษณ์เดียวกัน ทุกบ้าน มีสีเดียวกัน  ในยามค่ำคืนสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ จนแทบไม่น่าเชื่อว่านี่คือเมืองสิบสองปันนา ชาวไทลื้อจริง ๆ หลงเหลืออยู่น้อย นับวันชาวไทลื้อที่อาศัยอยู่ในเมืองสิบสองปันนาก็จะกลายเป็นคนกลุ่มน้อย คนรุ่นหลังก็ไม่พูดภาษาไทลื้อ นิยมเรียนและพูดภาษาจีนเป็นส่วนใหญ่ ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ ยังคงมีเพียงผู้สูงอายุที่ยังคงพูดภาษาไทลื้อ และต่อไปในอนาคตภาษาไทลื้อจะเป็นเพียงภาษาในอดีต แม้กระทั่งลักษณะการแต่งกายก็กลายเป็นแบบสากลมากขึ้น การเดินทางครั้งนี้ทำให้ได้เห็นชัดเจนว่าความดั้งเดิมอาจถูกกลืนหายไปกับกาลเวลา

          ข้อดีของ การเดินทางโดยรถ ทำให้ได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คน ตลอดทางที่เต็มไปด้วยทางขึ้นเขา ลงขึ้น ระยะเวลาไป 1 วัน กลับอีก 1 วัน ฟังจากที่ไกด์ลาวเล่าก็พอทำให้ได้ทราบว่า เส้นทาง R3A เป็นการสร้างร่วมกันระหว่าง 3 ประเทศ ไทย ลาว และจีน เพื่อเป็นเส้นทางขนส่งสินค้า ตลอดสองข้างทางจะปลูกพืชเศรษฐกิจหลัก คือ ยางพารา และกล้วยหอม  ในช่วงที่เข้าประเทศจีนจะพบอุโมงค์เยอะมากและบางที่จะยาวมาก ภูเขาขนาดใหญ่ ต้นไม้ขนาดใหญ่ มีป่าที่ยังคงสมบูรณ์ 
         มาที่นี่ ถ้าหากจะไม่ให้พูดถึงสิ่งนี้คงไม่ใช่ คือเรื่องห้องน้ำ ก่อนเดินทางหาข้อมูลเรื่องห้องน้ำ ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ระหว่างทางก็ยังเป็นเช่นนั้นคือ ถ้าจะหาห้องน้ำให้เดินไปตามกลิ่น แรกๆ รู้สึกเหมือนกันแต่อยู่ไปไม่ใช่ชินนะคะ เพราะเมื่อเข้าไปในเมือง ห้องน้ำพัฒนาแล้วค่ะ ดีเกินคาด และอีกเรื่องคือ การได้เข้าห้องน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก อันนี้ไปเดาเอาเองนะคะว่ามันคืออะไร แต่มันคือประสบการณ์ค่ะ เกือบลืมอีกเรื่อง คนที่นั่นจะนิยมสูบบุหรี่ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ทุก ๆ ที่จะมีกลิ่นบุหรี่ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ

วิธีดื่มชา ผู้ชายจะต้องถือถ้วยชาโดยจับที่ขอบถ้วย ด้วยมือทั้งสองข้าง ส่วนผู้หญิงจะได้ต้องจับขอบถ้วยด้วยมือขวา แล้วใช้มือซ้ายประคองก้นถ้วย แล้วดื่มให้ได้ 3 ครั้ง

        

ของฝาก คนที่มาเที่ยวสิบสองปันนาจะต้องหาซื้อ กระจกนกยูง ทุกอย่างที่เป็นลายนกยูง ผ้าไทลื้อ บัวหิมะ ชาผู่เอ้อ ขนมและอื่น ๆ 

   ตลอดทริปนี้เรื่องที่พักและอาหารถือได้ว่าอยู่ในระดับดีมาก ทำให้ทุกคน Happy การเดินทางราบรื่นไม่มีอุปสรรคใด ๆ ขอขอบคุณผู้ร่วมเดินทางทุกท่าน เป็นทริปที่มีความสุขอีกหนึ่งทริปค่ะ 
        ถ้าถามว่าจะกลับมาเที่ยวที่นี่อีกมั้ย ก็ไม่แน่ ถ้าหากการเดินทางสะดวกขึ้นกว่านี้ ซึ่งอีก 5 ปี รถไฟความเร็วสูงจากหนองคายจะมาถึงที่นี่ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่อย่างน้อยก็ได้มาเปิดโลกทัศน์ของตัวเองที่นี่แล้ว และการมาแต่ละครั้งก็คงแตกต่างไปกันอย่างแน่นอน
  หนี ห่าว 

หวังว่าบทความเล็ก ๆ นี้จะเป็นแรงบันดาลใจในการเที่ยวสิบสองปันนา 
        แล้วพบกันใหม่ทริปต่อไป 
อ้างอิง

https://th.wikipedia.org/เขตปกครองตนเองชนชาติไท สิบสองปันนา

ไม่มีความคิดเห็น: