ทริปนี้มีชื่อว่า " โตเกียวไม่เดียวดาย" EP 1
คำเตือนก่อนอ่าน รีวิวนี้ยาวนะ ใครขี้เกียจอ่านก็อ่านพอผ่าน ๆ ไปเลยค่ะ จะพยายามลงให้ละเอียดสำหรับใครที่สนใจรับรองไปได้แบบชิวๆเลย
"เราไปญี่ปุ่นกันเหอะ" สตั้นไป 10 วิ กล่าวกับตัวเองเบา ๆ อ้าวเฮ้ย เมื่อเช้าเพื่อนยังบอกว่าจะจองสิงคโปร์อยู่เลย ไหงเป็นงี้อ่ะ ทำไรไม่ถูก มึน ๆ งง ๆ แต่ต้องมาตัดสินใจ เพราะเราคุยกันว่าจะเดินทางแค่ปีละครั้ง และคิดว่าจะเที่ยวใกล้ๆ รอบบ้านเราก่อน อย่างลาว เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และต้องบอกก่อนเลยว่าการไปเที่ยวญี่ปุ่นยังไม่ได้อยู่ในหัวเลยสักนิดเดียว ไม่เคยมีแพลนมาก่อน ไม่ตื่นเต้นจริงๆ ให้ตายเถอะ แต่ไม่รู้ว่าใกล้ๆ จะเดินทางจะตื่นเต้นมั้ย มารอลุ้นกัน
การเตรียมตัวเดินทาง ปกติแล้วช่วงจะทำทริปเที่ยวที่ไหนหรือหาข้อมูลเที่ยวเราอ่านเยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็นอ่านแผนที่ วัฒนธรรม แหล่งท่องเที่ยว แหล่งshopping หรืออ่านหนังสือภาษาต่าง ๆ ( อ่านไปก็คงช่วยอะไรไม่ได้555) แต่คราวนี้ไม่แตะเลย เพราะยังไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจากตรงไหนก่อนเลย อาจเนื่องจากเป็นกรุ๊ปใหญ่มาก ทริปนี้ เรามีผู้ร่วมชะตากรรม เป็นผู้ใหญ่ 15 คน เด็กน้อย 2 คน ยอมรับว่ามึนมาก จนมาจวนเจียนเวลาเดินทาง ต้องมาหาหนังสืออ่าน อ่านไปก็คงไม่ได้ช่วยอะไร
ทริปนี้เราจองตั๋วโปร Thai AirasiaX flight XJ600 Airbus รุ่น A330 ลำใหญ่ 333 ที่นั่งและการที่ไปเดินงานเที่ยวไทยไปทั่วโลกที่จัดขึ้นปีละ 2 ไปครั้งแรกทำไม่ถูกว่าจะทำไรก่อนดี เดินดูสังเกตุการณ์ไปเรื่อย พบว่า คนไทยไปญี่ปุ่นเยอะมากๆ หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ทำทีละอย่างศึกษาเส้นทางก่อน จึงเริ่มเขียนทริป จองที่พัก จองตั๋วรถไฟแบบรายวัน ติดต่อรถเช่า ศึกษาเส้นทางแบบไม่ค่อยรู้สักเท่าไหร่ เพราะไม่เคยไป
เรื่องยุ่ง ๆ ที่ต้องเตรียมไปเกรงว่าจะไปถูกกักอยู่แถว ตม. สิ่งที่เราต้องเตรียมคือเอกสารเยอะ จะได้ไม่ต้องตอบคำถามที่ฟังไม่รู้เรื่อง ได้แก่ ใบจองตั๋วเครื่องบิน ใบคอนเฟิร์มที่พัก เอกสารผ่านศุลกากร

วันแรก วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2561
19.00 น. เรานัดกันที่สนามบินดอนเมือง เพื่อไปเตรียมตัวเดินทาง ที่ประตู 4 เคาน์เตอร์ 4 ชั้น 3 ระหว่างประเทศ รอเคาน์เตอร์เปิดเวลา 20.55 น. คนไปญี่ปุ่นเยอะมาก แถวยาวมาก ขั้นตอนต่างๆ ก็เหมือนกับการเดินทางในแต่ละครั้ง เช็คอินไปแล้วก็แค่ยื่นเอกสารเช็คอินที่พิมพ์ ตรงเคาเตอร์ยื่นพาสปอร์ตและนำกระเป๋าโหลดและเดินเข้าไปด้านใน เมื่อเข้าไปด้านใน ต้องผ่านจุดตรวจที่ต้องสแกนลายนิ้วมือเมื่อผ่านแล้วก็สามารถเดินไปเข้า Gate เพื่อรอขึ้นเครื่องได้ทันที

23:45 น. เดินทางโดยเครื่องบินสายการบิน แอร์เอเชียเอ๊กซ์ XJ600 วันที่สอง วันพุธที่ 20 มิถุนายน 2561
08:00 น. ถึงสนามบินนาริตะ เดินตามป้ายบอกทางเพื่อผ่านด่านคนเข้าเมืองของญี่ปุ่น ทำธุระส่วนตัว รับกระเป๋า และออกมารอรถบัสที่นัดไว้
10:00 น. รถบัสที่เราจองไปเป็นรถบัสของบริษัทรถเช่าญี่ปุ่นคนขับคนไทย ราคาที่ตกลงกัน ค่าเช่าตกคนละ 8000 เยน ขนาดกำลังดีสำหรับทริปนี้ เพื่อเดินทางไปยัง Kawaguchiko Lake เที่ยวรอบ ๆ ทะเลสาบคาวากุจิโกะ และส่งที่พัก
12.30 น. : เดินทางถึง Oshino Hakkai
Oshino Hakkai หมู่บ้านน้ำใส


มีความสวยงามในระดับที่ว่าได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกทางธรรมชาติในปีค.ศ. 1934 และได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในภูมิทัศน์ทางน้ำที่งดงามร้อยอันดับในปี ค.ศ. 1985 น้ำใสในบ่อทั้ง 8 นี้คือน้ำที่เกิดจากการละลายของหิมะบนภูเขาไฟในช่วงฤดูร้อน ไหลผ่านหินลาวาที่มีรูพรุนรวมกับแร่ธาตุต่าง ๆ ทำให้น้ำใสสะอาด อาหารที่ไม่ควรพลาด ปลาย่าง เต้าหู้ซอสมิโสะรสเผ็ด โมจิย่างสีเขียวและโซบะท้องถิ่น ไปถึงฝนตกปรอย ๆ ทำให้มองไม่เห็นภูเขาไฟฟูจิ
15.30 น. เดินทางออกจาก หมู่บ้านน้ำใส ไปยังที่ Kawaguchiko Station Kawaguchiko Natural Living Center & Oishi Park) ทะเลสาบ Kawaguchiko มี Natural Living Center ร้านขายของสินค้าท้องถิ่นและของฝาก โดยมีภูเขาไฟฟูจิในหน้าร้อนเป็นฉากหลัง ยามสีม่วงของลาเวนเดอร์ตัดกับวิวเงาสะท้อนของฟูจิซัง พร้อมมีที่นั่งทานกาแฟซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดที่สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้อย่างชัดเจน แต่วันนี้ฝนตก มองไม่เห็นฟูจิ
Kawaguchiko Lake ทะเลสาบ คาวากุจิโกะ(Kawaguchiko)
เป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 และมีชายฝั่งที่ยาวที่สุดของทะเลสาบฟูจิทั้ง 5 และยังเป็นทะเลสาบเพียงแห่งเดียวในบรรดาทะเลสาบฟูจิทั้ง 5 ที่มีสะพานยื่นเข้าไปในทะเลสาบ
18.00 น. เราเดินไปกินข้าวเย็นที่ แถวใกล้ ๆ ที่พัก
กลับมาพักผ่อน เช้าเดินทางต่อ เพื่อกลับไปยังโตเกียว
เราพักที่ Kawaguchigo Hotel เป็นโรงแรมเก่า ที่มีบรรยากาศดีมาก จองผ่าน App Booking เป็นที่พักสไตล์เรียวกังที่สวยงาม ที่นี่มีออนเซน อาหารเช้าโรงแรมบริการอย่างดี
วันที่สาม วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน
2561
07.30 น. เวลาอาหารเช้า พร้อมเช็คเอาท์ ให้ทัน 8.30 น. รถตู้โรงแรมพามาส่งยังสถานีรถไฟการเดินทางกลับจากคาวากุจิโกกลับมายังโตเกียว
เราต้องเข้าไปจองตั๋วHigh way bus ซื้อตั๋วที่ข้างในสถานีรถบัสเพื่อกลับมายังโตเกียวเที่ยว 9 โมงกว่า ๆ ค่าตั๋วคนละ 1800 เยน เด็กโตครึ่งราคา เด็กเล็กฟรี แล้วมารอขึ้นรถที่ป้ายรถบัสหมายเลข 3 หน้าสถานี ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง
และนั่งมาถึงโตเกียวสเตชั่น เวลาประมาณ 11.00 น. เข้าห้องน้ำและไปแวะซื้อ เราเลือกบัตรเติมเงินซุยกะเพื่อสะดวกที่จะใช้ในการจ่ายค่าตั๋วรถไฟในโตเกียว
Suica Card บัตรซุยกะ คือ บัตรเติมเงินใช้แทนเงินสด เราสามารถใช้บัตร Suica ขึ้นรถไฟได้ทั้งบนดินของ JR รถไฟใต้ดินทั้ง Tokyo Metro และ Toei Subway รวมถึงรถไฟ Tokyo Monorail ที่วิ่งระหว่างสนามบิน Haneda Airport และรถบัส อีกทั้งยังสามารถใช้จ่ายแทนเงินสดในร้านค้าต่างๆ อาทิ ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายเสื้อผ้า เครื่องเขียน ร้านไอศกรีม โรงหนัง รวมทั้งตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ ตู้ล็อคเกอร์ และอื่นๆ อีกสารพัด โดยให้สังเกตตอนจ่ายเงิน ถ้ามีโลโก้ด้านล่างนี้อยู่ก็สามารถใช้บัตร Suica จ่ายได้ ขั้นตอนการเติมเงินก็ง่ายไม่ยุ่งยาก มีภาษาอังกฤษสะดวกเลยค่ะ
หลังจากนั้นนั่งรถไฟเจอาร์ สาย JR Yamanote Line จากสถานนีโตเกียวไปยังสถานี Otsuka นัดให้รถของที่พักที่เราจองไว้มารับกระเป๋าไปเก็บที่พักก่อน
Yamanote Line คือ สายรถไฟของค่าย JR ซึ่งเป็นเครือข่ายรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นในโตเกียวนั้นมีรถไฟอยู่มากมายหลายขบวนที่แล่นผ่าน และ Yamanote Line นี้เองที่เป็นสายยอดฮิตที่สุดทั้งในหมู่นักท่องเที่ยวและชาวญี่ปุ่น เพราะรถไฟขบวนนี้จะวิ่งผ่านแหล่งท่องเที่ยวและสถานที่สำคัญหลายแห่ง โดยจะวิ่งเป็นเป็นลักษณะวงกลม รับรองว่าไม่หลงแน่นอน เพราะถ้าหากเราลงผิดสถานีก็ยังสามารถนั่งขบวนใหม่วนกลับมาหรือนั่งต่อไปจนถึงจุดหมายได้ แต่อาจต้องใช้เวลานานกว่าที่ควรจะเป็น ท่ามกลางความวุ่นวายมากมายภายในสถานีรถไฟของญี่ปุ่น เมื่อเดินเข้ามาก็เริ่มจากการมองหาป้าย Yamanote เพื่อนำทางเราไปสู่ชานชาลา และไม่ต้องกังวลว่าจะสับสนในการขึ้นขบวนรถ เพราะคุณสามารถมองหารถไฟขบวนของ Yamanote Line ได้จากสีเขียวที่จะคาดไว้อย่างเด่นชัดบนตัวรถไฟ

แม้จะวิ่งวนเป็นวงกลม แต่เจ้ารถไฟสายนี้แบ่งเส้นทางการวิ่งเป็น 2 ทาง คือ Inner Loop วิ่งวนทางซ้าย และ Outer Loop วิ่งวนทางขวา ซึ่งความแตกต่างของมันคือระยะเวลาที่เราต้องใช้เดินทาง ขึ้นอยู่กับว่าวนทางไหนแล้วจะใกล้สถานีปลายทางมากกว่ากัน เพราะฉะนั้นต้องสังเกตป้ายที่ชานชาลาก่อนขึ้นให้ดีว่าสถานีที่เราจะลงนั้นต้องไปทางใด เพื่อเป็นการประหยัดเวลาการเดินทาง
( ที่มา https://chillchilljapan.com/travel-by-tokunai-pass/) อันนี้เขาเขียนไว้ชัดเจนดีมาก

การเดินทางไปยัง วัดอะซากุสะ
เริ่มที่สถานี Otsuka ให้เลือกเข้าเส้นทาง ที่ไป ยัง Ueno เพื่อไปต่อ Subway โตเกียวเมโทร สายกินซ่า (Subway Ginza Line G16) ใช้เวลาประมาณ 9 นาที ไปลง G19 ทางออกหมายเลข 1
【Otsuka Station】→ (JR Yamanote Line) →【Ueno Station】
【Ueno Station】→ (Subway Ginza Line) →【Asakusa Station】
มาแล้วต้องเช็คอินร้านดังย่านอะซากุสะ
ร้านแรก เป็นร้านทงคัสสึราเมนรสชาติดี ร้าน Arashi ramen เป็นร้านที่ต้องสั่งอาหารจากตู้ สั่งแล้วนำใบเสร็จมานั่งรอ สักพักก็จะมีอาหารมาเสริฟ์ที่โต๊ะ สะดวกดีค่ะ อยู่แถวหน้าวัด ถ้ามาทาง Subway ต้องเดินข้ามทางม้าลาย ร้านจะอยู่ด้านหน้าทางเข้าวัดอะซากุสะ ทางซ้ายมือ ก่อนเข้าเกือบ ติดทางเข้าเลย
วัดอาซากุสะ
เป็นวัดเก่าแก่ที่ควรค่าแก่การมาสักการะพระโพธิสัตว์และเที่ยวชม กล่าวกันว่าถ้ามาโตเกียวแล้วไม่ได้มาไหว้พระที่วัดอาซากุสะ ถือว่ามายังไม่ถึงโตเกียวเลยทีเดียว นอกจากนี้จากวัดอาซากุสะเดินต่อไปอีกราว 20 นาทีก็จะถึงโตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งในย่านนี้
วัดอาซากุสะมีชื่ออย่างเป็นทางการว่าวัดเซนโซ หรือเซนโซจิ (Sensoji) แต่นิยมเรียกว่าวัดอาซากุสะเนื่องจากตั้งอยู่ในย่านอาซากุสะนั่นเอง เป็นวัดในศาสนาพุทธ โดยมีพระโพธิสัตว์คันนน (Kannon Bosatsu) ประดิษฐานอยู่และเป็นพระประธานของวัด
อาซากุสะเป็นย่านเก่าแก่แห่งหนึ่งของโตเกียว ในอดีตเคยเป็นแหล่งสถานเริงรมย์และโรงละคร แต่เสียหายไปมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมามีการสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ แต่ยังคงความเป็นโตเกียวแบบดั้งเดิมอยู่ ปัจจุบันเป็นย่านที่มีเสน่ห์แบบย้อนยุคและเติมแต่งด้วยสีสันของความทันสมัย โดยหัวใจของย่านนี้อยู่ที่วัดอาซากุสะ
ที่มาhttps://th.japantravel.com
หลังจากไหว้พระและเสี่ยงเซียมซีแล้ว ต้องไปเช็คอินร้านที่สอง คือร้าน ไอศครีมขาเขียว ร้าน Suzukien Asakusa เป็นร้านน้ำชาเก่าแก่ เปิดมากว่า 150 ปีแล้ว ซึ่งตอนนี้เริ่มขายไอศครีมเจลาโต้เป็นหลัก มีให้เลือกมากกว่า 14 รสชาติ ที่พิเศษ และเป็นของขึ้นชื่อมากที่สุดคือรสชาเขียวเบอร์ 1 ถึง 7 โดยเฉพาะเบอร์ 7 นั้นได้รับการขนานนามให้เป็น ไอศครีมชาเขียวที่เข้มข้นทีสุดในโลก! ผลิตจากใบชาคุณภาพระดับรางวัลชนะเลิศการประกวดชา ไปตามรีวิว ร้านจะอยู่ด้านหลังวัดซึ่งต้องเดินข้ามถนนไปซึ่งก็ไม่ไกลนัก เค้าว่ากันว่าร้านนี้มีไอศครีมชาเขียวที่เข้มที่สุดในโลก ปกติร้านนี้อ่านในรีวิวจะต้องเข้าคิวยาวมาก แต่วันนี้เราไปรอไม่นานเลยค่ะ ดวงจะได้กิน อยากกินเข้มแค่ไหนก็เลือก Level กันตามชอบเลย 


ขนมเมล่อนปัง เป็นขนมปังแบบดังเดิมของญี่ปุ่น บางคนอาจจะเข้าใจผิดว่าเป็นขนมปังสอดไส้เมล่อน แต่จริงๆแล้วคือขนมปังอบแล้ว ด้านบนมีลายแตกๆ เหมือนผิวเมล่อนญี่ปุ่น เป็นที่มาของชื่อ “เมล่อนปัง” นั่นเอง ซึ่งปกติก็จะหาทานได้ทั่วไปแม้กระทั่งในร้านสะดวกซื้อต่างๆ แต่ที่ขึ้นชื่อก็ต้องยกให้ร้าน Asakusa Kagetsu-do ที่ขายเมล่อนปังรสดั้งเดิมและซอฟครีมหลากรส ที่ร้านนี้จะทำใหม่ๆอบเสร็จจากเตาร้อนๆ ขนมเมล่อนปังจะกรอบนอกนุ่มใน หวานกำลังดี จากปากทางซุ้มโคมแดง ระหว่างทางที่เดินไปวัดเซนโซจิในย่านอาซากุสะ สังเกตุง่ายๆคือที่หน้าร้านจะมีลูกค้าต่อคิวซื้อเมล่อนปังกันเป็นแถวยาว แนะแอบเห็นรูปพี่เจมส์จิเคยมากินด้วยน้า (คนขายบอกเค้าคงเห็นหน้าเราเป็นคนไทย) ราคาก็ 1 ชิ้น 200 เยน ถ้าซื้อ 3 ชิ้น 500 เยน
เปิดแผนที่เดินได้ทั้งวันถ้ามีเวลา เวลาน้อยแทบไม่ได้ดูอะไร 2-3 ร้าน ก็คุ้มแล้วค่ะ555
![]() |
การเดินทาง ขากลับ Subway Ginza Line G19 มาลง Subway Ginza Line G16 และเข้าสถานี JR Yamanote Line Ueno มาลงสถานี Otsuka เพื่อกลับเข้าที่พัก ใช้เวลาประมาณ 5 นาที
【Asakusa Station】→ (Subway Ginza Line) →【Ueno Station】【UenoStation】→ (JR Yamanote Line) →【Otsuka Station】
ออกไปย่ำราตรี ห้าแยก Scramble crossing ย่าน Shibuya

ห้าแยกชิบูย่า [Shibuya] เป็นห้าแยกที่แรกของโตเกียวที่เปิดไฟเขียวให้คนข้ามพร้อมๆ กันทุกฝั่ง สัมผัสเสน่ห์ของที่นี่ กับภาพความประทับใจที่ผู้คนเดินข้ามถนนพร้อมๆ กันจากทุกๆ ด้าน เพื่อนบอกว่าต้องไปดูให้ได้ พอได้เห็นรู้สึก Amezing มากบอกเลย เฮ้ยทำไม ต้องมา เดินที่นี่เพื่อข้ามถนนไปมา ดูขวักไขว่มาก ๆ เตรียมกล้องถ่ายโดยหาจังหวะปีนขึ้นไปเพื่อจับภาพสวย ๆ มีหลายแยกที่เห็น แต่แยกนี้สุด ๆ ละ อ่านมาว่าที่นี่เป็นแลนด์มาร์คของโตเกียวที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์และซีรี่ส์ทั้งของญี่ปุ่นและต่างประเทศ นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ต่างต้องมาเก็บภาพเป็นที่ระลึก หลังจากที่ถ่ายรูปเรียบร้อย ข้ามแยกมาแล้วก็เตรียมตัวช้อป เพราะเป็นย่านช้อปปิ้ง ที่เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้าและร้านขายเสื้อผ้าแฟชั่นต่างๆ มากมาย
การเดินทาง จาก Otsuka Station โดยรถไฟ JR Yamanote Line (For Shinjuku & Ikebukuro) ใช้บัตรซุยกะ ค่าโดยสารเที่ยวละ 165 เยน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที บอกไว้ก่อนที่นี่ Shibuya Station มีทางออก 28 ทางออก โอ้ว..แม่เจ้า เลือกเอาเลยค่ะ555
【Otsuka Station】→ (JR Yamanote Line) →【Shibuya Station】
ขากลับจาก Shibuya โดยรถไฟ JR Yamanote Line (For Ueno & Ikebukuro)
ที่พักที่โตเกียว ชื่อว่า Stay-in Tokyo เราติดต่อเช่าที่พักผ่านทาง Facebook ซึ่งเจ้าของเป็นคนไทยได้สามีเป็นชาวญี่ปุ่น ห้องพัก สะอาด เรียบร้อย มีสิ่งอำนวยความสะดวกและอยู่ติดถนน เดินทางสะดวก สามารถเดินไปถสถานีรถไฟได้ใช้เวลาไม่นาน อยู่ใกล้แหล่งอาหารมาก ๆ มีเซเว่น และซุปเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่ง
รอติดตามอ่าน EP 2 นะคะ ยังมีต่อค่ะ
คน นิ จิ วะ
ติดตามอ่าน EP 2 ที่ https://tripwiththegang.blogspot.com/2018/07/ep2.html
ติดตามอ่าน EP 2 ที่ https://tripwiththegang.blogspot.com/2018/07/ep2.html
บทความที่ผ่านมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น