วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2562

บันทึกการเดินทาง : ตอน เกิ่นเทอ(ไม่คุ้น แต่คุ้มมาก)นะเธอ




บันทึกการเดินทาง : ตอน เกิ่นเทอ(ไม่คุ้น แต่คุ้มมาก)นะเธอ 
3 วัน 2 คืน 3,000 บาท ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน



เป็นอีกทริปที่คิดว่าจะแอบไป ชิลๆ ไม่รีบร้อน หลบไปพัก วางภาระงาน ๆ แล้วไปซิล ๆ กัน  เปิดประเด็นชวนเพื่อนเลย ไปเกิ่นเทอกันนะเธอ เพื่อนตอบที่ไหนว่ะ เกิ่นเทอ ไม่เคยได้ยินชื่อเลยง่ะ เวียดนามเราก็เพิ่งเคยได้ยินเหมือนกัน555 มาเนื่องจากการเปิดสายการบินเส้นทางใหม่ของหางแดง ในราคาโปร 690 รวมภาษีสนามบินแล้ว ก็จัดสิค่ะ ไปกลับไม่เกิน 2000 รวมค่าโหลดสัมภาระแล้วเผื่อซื้อของฝากของกิน เพื่อนไม่มีปัญหาใด ๆ ก็จัดการจองเลย ทริปนี้ไม่ได้จองยาวนานมากมายอะไร  ก็ทริปนี้ไปกันสามสาว จัดการจองโรงแรมเอาแบบระดับห้าดาว 2 คืน ราคาคนละพันกว่า ๆ คือดีงามมาก

เกิ่นเทอ..นี่มันเมืองอะไร มีดียังไงต้องไป

เกิ่นเทอ ชื่อนี้ไม่คุ้นไม่ค่อยมีคนรู้จัก หลังจากที่จองตั๋วโปรก็หาข้อมูลอ่าน เท่าที่หาได้ ในหนังสือเที่ยวเที่ยวไม่มี มีในหนังสือเรื่องราวเกี่ยวกับอาเซียน ประมาณแหล่งการค้า เจอรีวิวเพียงไม่กี่ริวิว เกิ่นเทอ อยู่ห่างจากเมืองหลวงโฮจิมิห์ไปทางทิศใต้ราว 170 กิโลเมตร  เป็นเมืองใหญ่อันดับ4 ของประเทศเวียดนาม ติดกับไม่น้ำโขง เป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์  ยังมีตลาดน้ำที่มีชื่อเสียงและมีขนาดใหญ่ ยังมีการค้าขายสินค้าทางการเกษตรกันบนเรือแบบเดิม ๆ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเวียดนามที่ใช้ชีวิตริมน้ำ

วันเดินทางที่รู้สึกคุ้มค่า เราเดินทางวันที่12 กันยายน 2562 เวลาประมาณ11.25 เที่ยวบินนี้เป็นไฟท์ที่เปิดเส้นทางใหม่ ๆ ผู้โดยสารจะมีน้อยมาก ประมาณ30 คน เราไปกันสามคน แอร์สาวสวย มาแจ้งว่าพี่ๆมากัน3คนใช่มั้ยคะ รบกวนมานั่งที่เก้าอี้แดงด้านหน้านะคะ คือดีย์ไปอิ๊กก เรียกได้ว่าประสบการณ์ที่ดี เราถึงประเทศเวียดนาม สนามบินเกิ่นเทอ เวลาประมาณบ่ายโมงกว่า ถึงสนามบินรู้สึกวังเวงมาก ที่นี่ที่ไหน เงียบ..ไม่มีผู้คนเยอะ ๆ เหมือนสนามบินนานาชาติอื่น ๆ ที่เคยไป  รู้สึกหิวเพราะตั้งใจมาหาอะไรกินมื้อกลางวันที่นี่ แต่ปรากฏว่าไม่มีอะไรขายเลยอ่ะ ไม่มีที่แลกเงิน โอ้ย..ยังไง ทำไงดี ในหัวงงไปหมด ไม่มีตังค์ก็ไปไหนไม่ได้เลย จะเรียกแทกซี่ที่พักก็ไม่มีเงินดง (VND) เลย 
เหมือนเทวดาฟ้ามาโปรด คือมีทหารเวียดนามคนหนึ่งคงจะมองพวกเราอยู่ แบบหน้าตาคงจะดูตื่น ๆ เดินเข้ามาถามว่ามีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า คนไทยใช่มั้ย พูดแบบไม่ชัดแต่รู้ถึงความตั้งใจช่วยเหลือ สรุปคือ เขาบอกว่าเขาเป็นทหารเวียดนาม มาเรียนฝึกอยู่แถวดอนเมือง กลับไปเยี่ยมบ้าน เราเลยบอกว่าเราจะไปที่พัก แต่เราไม่มีเงินดง (VND) เลย เขาเลยแสดงบัตรให้ดูว่าเชื่อใจเขามั้ย เขาจะไปแลกให้ เขาเอาบัตรประจำตัวทหารให้เราไว้เลย คงจะอยากช่วยจรริงๆ เราฝากเขาไปแลก 200 USD ได้มาเยอะอยู่ น่าจะเป็นเงินเขาด้วย เพราะเราไม่มีเลย หลังจากนั้นเขาก็เอาเงิน (VND) มาให้ เราก็ขอบคุณเขา และเขาก็พาไปส่งขึ้นรถแท็กซี่และบอกกับคนขับแทกซี่ว่าให้ส่งที่โรงแรมที่เราจองไว้ ค่าแทกซี่คิดเป็นเงินไทยประมาณ 180 กว่าบาท และบวกค่าชาร์จของสนามบินอีกประมาณ 10.000 VND

Ong Temple


+
       มาเริ่มทริปกันที่แรก เดินออกจากที่พัก เช็คอินที่แรกเลยก็คือ ศาลเจ้ากลางใจเมืองเกิ่นเทอ มีชื่อว่า Ong Temple
หันหน้าไปทางแม่น้ำขนาดใหญ่ ที่นี่มีสถาปัตยกรรมแบบจีน ด้านในตกแต่งสวยงาม ประดับด้วยธูปเกลียว ที่จุดตลอดเวลา และที่อ่านมาที่นี่มีความศักดิ์สิทธิ์เรื่องการค้าขาย พ่อค้าที่มาทำการค้าขายที่เมืองนี้จะต้องมาขอพรที่นี่ จึงตัดสินใจขอพรทันทีไม่รีรอ ตั้งจิตให้มั่นแสดงความปรารถนาและบอกว่าถ้าได้ตามที่พูดจะขอกลับมาไหว้ที่นี่อีกครั้ง

เฝอล๊อบเตอร์






หลังจากออกจากไหว้พระขอพรเรียบร้อยไม่รีรอ เราออกเดินทางโดยใช้กูเกิลแม็บเพื่อไปยังร้านเฝอล๊อบเตอร์ที่ตั้งใจไปลอง แท็กซี่พาเราไปยังจุดหมายไม่ไกลจากโรงแรมมาก แต่ก็เดินไม่ไหวหรอก ร้านในรีวิวเหมือนกัน ชื่อร้าน    TUNG BUNG KHAI TRUONG  สั่งเฝอปู เฝอล๊อบเตอร์ หาข้อมูลมาแล้วราคาถูก คิดจากป้ายที่ติดไว้ เฝอปู ชามละ 70.000 VND ตีเป็นเงินบาทประมาณ 80 กว่าบาทไทย เฝอล๊อบเตอร์ ชามละ 100.000 VND ประมาณ 120 บาทไทย ชามใหญ่มาก อร่อยและคุ้มมากกก (ก.ไก่ล้านตัว) สมกับการรอคอย สมคำร่ำลือ
ปล.อย่าลืม...มาที่เกิ่นเทอ ไม่ได้กินเฝอปู เรียกว่ามาไม่ถึง นะจ๊ะ
หลังจากนั้นก็เรียกแทกซี่กลับมาที่พัก 
#อร่อยจนต้องบอกต่อ

อนุสาวรีย์ลุงโฮ . Ho Chi Minh Monument

มาที่นี่ต้องมาถ่ายรูปกับอนุสาวรีย์ลุงโฮ ลุงโฮเป็นที่รักของคนที่นั่นจริง ๆ 
ที่นี่เป็นสวนสาธารณะที่มีผู้คนมาเพื่อพักผ่อน ซึ่งมากันเป็นครอบครัว ทั้งหนุ่มสาวนัดพบกัน
และเราก็เดินเล่นไปเรื่อย ๆ และเดินไปชมตลาดกลางคืน มีร้านขายของกิน พวกน้ำปั่น
และเดินไปดูของที่ระลึกที่ตลาดกลางคืน และนัดเรือให้มารับไปทัวร์ตลาดน้ำเหมาส่วนตัวเลยจ้า คิดเป็นเงินไทยราว 450 บาท หลังจากนั้นก็รีบกลับมานอน เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืดพรุ่งนี้

Ninh Kieu Riverside Hotel


เรา 3 คน จองที่พักที่นี่ 1 ห้อง 2คืน ผ่าน App Agoda  ราคา3200 เป็นโรงแรมระดับห้าดาวที่ถือว่าราคาถูกมาก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน้ำโขง มีทิวทัศน์ที่สวยงาม มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ที่นี่ติดกับ Ninh Kieu quay and Pedestrian Bridge ช่วงเย็นจะมีวัยรุ่น คนแก่ เด็ก และนิยมมากันเป็นครอบครัวมาพักผ่อนดูไฟ คือมากันเยอะมาก ๆ มากจริง ๆ เรียกว่าแน่นสะพาน สะพานประดับไฟสวยงาม และมีร้านอาหารบนเรือ
           Cai Rang Floating Market ตลาดน้ำไคราง




ที่นี่น่าจะเป็นไฮไลท์อันดับต้น ๆ ของเกิ่นเทอ คือ ตลาดน้ำไคราง ตลาดน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม เราเหมาเรือ1ลำเพื่อชมตลาดน้ำ เรือรับจากหน้าโรงแรมใช้เครื่องยนต์ เราออกจากที่พักประมาณตีห้า ออกมาไม่เจอคนที่นัดไว้เลยเคว้งคว้างทำไง เดินมาอีกมาคนมารอบอกว่าจะพาไป ใช่หรือเปล่าเนี่ย พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่สื่อสารใช้ภาษาอังกฤษได้ดี พาล่องเรือไปเรียกว่าไกลมาก ก็ค่อย ๆ สว่างและเห็นพระอาทิตย์ขึ้น ตลาดมีการค้าขายบนเรือ เช่น เรือขายแตงโม ฟักทอง จะเต็มเรือมาเลย และมีผลไม้หรือผักชนิดนั้น ๆ แขวนไว้กับเสาบนเรือเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าขายอะไร ชมวิถีชีวิตชาวบ้าน และพอมีนักท่องเที่ยวให้เห็นบ้างแต่ไม่มากเท่าไหร่ น่าจะไม่ค่อยมีใครรู้จักเท่าไหร่ มีของขายในเรือ เช่น เฝอ บาแกร็ต ขนมครก กาแฟ ผลไม้ กาแฟอร่อยมากที่สำคัญถูกมากๆ ด้วย
น่าจะใช้เวลา2 ชั่วโมง กลับมาถึงท่าน้ำ ทีแรกก่อนไปต่อราคา 
พอได้ไปแล้วโอ้ยไกลไม่เสียดายเลยและบริการดีมาก

บ้านทำเส้นก๋วยเตี๋ยวเก่าแก่



Bình Thuy temple


วัดบินทุย 
Bình Thuy temple แทกซี่ไปส่งเราก็งงๆ ที่ไหน เขาบอกวัดบินทุย เป็นวัดดังอีกแห่งในเกิ่นเทอ ที่ร่มรื่นและสวยงามมาก ด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์จีนๆ ผสมโปรตุเกส ด้วยความงดงามนี้เอง เลยทำให้วัดแห่งนี้เลยได้รับการยกย่องให้เป็นอนุสรณ์แห่งชาติสถาปัตยกรรมศิลปะ

Nam Nha Pagoda

ว้ดนามงา Nam Nha Pagoda เดินข้ามสะพานไปวัดจีนที่ติดริมน้ำ สถานที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวเกิ่นเทอ

Binh Thuy Ancient House



Binh Thuy Ancient House ตั้งใจมากที่จะมาเยี่ยมชมบ้านโบราณที่นี่ แต่ที่นี่สถานที่สำคัญต่าง ๆ จะปิดพักช่วงกลางวัน เปิดอีกทีบ่าย 2 โมง ทุกที่ก็จะเสียค่าเข้าชมแต่ก็ไม่ได้แพงอะไร การเดินทางมาที่นี่คือเดินค่ะ เดินจากวัดไปเลยประมาณกิโลกว่า ๆ แวะทานอาหารเวียดนามอีกร้านที่เป็นของทอดขึ้นชื่อ ซอยที่จะเข้าไปบ้านโบราณ เดินเข้าไปที่นี่สวยงามมาก การสร้างมีลักษณะเป็นศิลปะที่ผสมผสานสไตล์ตะวันตกและมีความเป็นเวียดนามผสมจีน ภายในตกแต่งด้วยข้าวของโบราณที่เก่าแก่ กระทรวงวัฒนธรรมของเวียดนามจึงได้ขึ้นทะเบียนให้บ้านโบราณ Binh Thuy Ancient House เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติอย่างเป็นทางการ ด้านในไม่ถึงกับห้ามถ่ายรูป จำกัดเพียงบางโซนที่ไม่ให้ถ่ายภาพ ชมได้อย่างเดียว

Phat Hoc Pagoda




Phat Hoc Pagoda เป็นวัดที่อยู่ตรงแยกไฟแดง กลางเมืองเกิ่นเทอ มีประมาณ 5 ชั้น ภายในแบ่งเป็นห้อง ๆ มีพระพุทธรูปหลากหลาย ให้กราบสักการะ มีความสวยงามอย่างยิ่ง  
Munirensay Temple


Munirensay Temple วัดเขมร กลางใจเมืองเกิ่นเทอ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ Phat Hoc Pagoda
เราจะได้เห็นวัดเขมร จำนวนมากได้ที่เกิ่นเทอ ซึ่งที่นี่อยู่ไม่ไกลจากกรุงพนมเปญมากนัก ทำให้มีผู้คนกัมพูชาอาศัยอยู่จำนวนมาก สามารถเข้าไปกราบไหว้ สักการะบูชา 
ในวันที่เราไป ได้พบกับพระรูปหนึ่งถามว่าเรามาจากไหนกัน เราก็บอกว่ามาจากประเทศไทย ท่านก็ได้บอกกับเราว่า เจ้าอาวาสที่นี่ไปเรียนที่เมืองไทยหลายปีนะ จึงพาพวกเราไปกราบ ได้เจอท่านสามารถพูดภาษาไทยได้ นั่นคือ ที่บอกมาที่นี่ยังเจอคนพูดภาษาไทยได้  ท่านบอกไว้ว่ามาคราวหน้า ให้แวะมาหา ท่านบอกดีใจ เพราะไม่ค่อยได้เจอคนไทยมาที่นี่เท่าไหร่ แล้วท่านก็ให้ขนมไหว้พระจันทร์มาคนละชิ้น พวกเราก็ถวายปัจจัยท่านไป 
La Dolce Vita Coffee







La Dolce Vita Coffee ร้านกาแฟที่ต้องมาตามรีวิว ที่นี่ตกแต่งสวยงามด้วยโทนสีฟ้า ขาว เป็นค่าเฟ่น่ารัก ที่ไม่เล็ก มี2ชั้น กาแฟถูกไม่แพง
กลับไปเอากระเป๋าเพื่อเดินทางไปยังสนามบินเกิ่นเทอ วันนี้ต้องกลับกรุงเทพฯแล้วยังเพลินอยู่เลย      

บทสรุปส่งท้าย
การมาเที่ยวครั้งนี้ถือว่าเป็นประสบการณ์การเที่ยวต่างประเทศที่ถูกที่สุดแล้ว เรียกว่าคุ้มเบอร์แรง มาพูดถึงข้อดี ค่าใช้จ่ายประหยัดมาก ค่าแทกซี่ถูกมาก บางเที่ยวเราจ่ายประมาณ28 บาท 3 คน อาหารถูกและดีงามมาก กาแฟที่เวียดนามถูกมาก ๆๆๆๆๆเอาไปเลยเรื่องความคุ้มให้เต็ม10ดาว บางวันกินกาแฟ 4 แก้ว 555 ข้อเสียคือ ภาษาส่วนใหญ่ไม่พูดภาษาอังกฤษ ใช้แต่ภาษาเวียดนาม สื่อสารค่อนข้างยาก แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ผู้คนที่นี่จะลักษณะพูดจาเสียงดัง ๆ คล้ายๆ คนจีน แต่ก็มีน้ำใจไม่ได้เลวร้ายเกินไป เวียดนามขึ้นชื่อเรื่องการโกง แต่ก็คอยระวังตัว ก็ไม่ได้มีอะไรที่เกินไป ขอบคุณเพื่อนสาวที่ร่วมทริปด้วยกัน  



วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

บันทึกการเดินทาง ตอน สะบายดี @หลวงพระบาง

บันทึกการเดินทาง ตอน สะบายดี @หลวงพระบาง


    หลังจากจบทริป "พาพ่อนั่งเครื่องเที่ยวเมืองเมียนมา"  ได้พาพ่อไปต่างประเทศครั้งแรก ได้ไปทำบุญเจดีย์ที่สวยที่สุดในโลกก็ว่าได้ พ่อได้นั่งเครื่องบินครั้งแรกแล้ว  

     สำหรับทริปหลวงพระบางเป็นอีกทริปที่ไม่ได้มีการคาดคิดไว้สักเท่าไหร่ แต่เมื่อมีโปรมาก็รีบคว้าไว้เช่นเคย เราจองโปรหางแดง ไปกลับสอยมาในราคา 2000 กลาง ๆ (ไม่รวมนน.กระเป๋า)  จองล่วงหน้ากันยาว ๆ สำหรับทริปนี้..เรามีสมาชิก 6 คน ชาย 2 หญิง 4  จองที่พัก 2 คืน ณ มายลาวโฮม โฮเต็ลแอนด์สปา  ติดต่อเช่ารถเพื่อความสะดวก  ค่าใช้จ่ายประมาณคนละ 3000 บาท  มาลองตามรีวิวกันนะคะ

ประสบการณ์ไฟท์ดีเลย์

     วันเดินทาง 25 เม.ย. 62 ตื่น 05.30 น. เพื่อไปรับพ่อกับแม่ที่สุพรรณ กลับมาสนามบินให้ทันเที่ยง เช็คอินมาแล้วแต่ยังไม่เรียบร้อย เนื่องจาก ตอนจองใส่ชื่อของเพื่อนผิด จึงต้องติดต่อขอเช็คอินหน้าเคาน์เตอร์ พร้อมโหลดกระเป๋า และไปทานอาหารเที่ยงเพื่อรอขึ้นเครื่อง 13.50 น. ตามหน้าตั๋วเกท 21 
    
      นั่งรอถึงเวลาประมาณ 14.10 ก็ยังไม่เรียกขึ้นเครื่อง ฝนตกหนักสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น ทุกคนที่นั่งตรงนั้นก็ยังงงว่าเกิดอะไรขึ้น   จนเวลาประมาณบ่าย 3 โมง ความวุ่นวายเริ่มมากขึ้น ซึ่งยังไม่ทราบเหตุผล เพราะทางสายการบินไม่มีการแจ้งผู้โดยสาร นั่งรอจนหลับตื่นมาก็ยิ่งคนเยอะ  



     หน้าจอขึ้นเวลาเลื่อนไฟท์เป็น 17.00 น. หลังจากนั้นก็แจ้งผู้โดยสารว่าไฟท์ดีเลย์ และให้ย้ายเกทไป เกท 24 นั่งรอกับพื้นเนื่องจากเก้าอี้เต็มหมด เวลา 17.30 น. ก็ยังไม่มีการเรียกขึ้นเครื่อง 

     จนกระทั่งเวลา 17.40 น. แจ้งให้เปลี่ยนเกท ไป ที่ชั้นล่าง เกท 5 พอลงไปเท่านั้น บ้าไปแล้ว คนแน่นมาก ไม่มีอากาศจะหายใจเลย อากาศร้อนอบอ้าวมาก รอประมาณครึ่งชั่วโมง ถ้านานกว่านี้คงแย่ เรียกให้ขึ้นรถ Shuttle bus เพื่อไปขึ้นเครื่องเวลาประมาณ 18.10 เครื่องออกประมาณ 18.30 ถึงหลวงพระบาง ประมาณ 20.00 น.  
    

 หมดเวลา 1 วันไปกับดีเลย์ 5 ชั่วโมง ติดอยู่สนามบิน รถที่นัดไว้มารับ และไปส่งที่พัก เดินออกมาหาอาหารเย็นประมาณ 21.00 ร้านใกล้ปิดแล้ว ที่แลกเงินปิดแล้ว 




ความรู้เล็กน้อยเกี่ยวกับเมืองหลวงพระบาง

     (จากวิกิพีเดีย)หลวงพระบางเป็นเมืองเก่าแก่เป็นราชธานีแห่งแรกของอาณาจักรล้านช้างสมัยแรกเริ่มสถาปนาอาณาจักรล้านช้าง แต่เดิมมีชื่อว่า "เมืองซวา" (ออกเสียงว่า ซัว) และเมื่อ พ.ศ. 1300 ขุนลอซึ่งถือเป็นปฐมกษัตริย์ลาวได้ทรงตั้งเมืองซวาเป็นราชธานีของอาณาจักรล้านช้างและได้เปลี่ยนชื่อเมืองใหม่เป็น"เชียงทอง"

     เมื่อพระเจ้าฟ้างุ้ม (พ.ศ. 1896 - พ.ศ. 1916) เสด็จกลับจากกัมพูชา อันเนื่องจากพระองค์และพระบิดาต้องเสด็จลี้ภัยเพราะถูกขับไล่จากกษัตริย์องค์ก่อน ซึ่งแท้จริงก็คือพระอัยกาของเจ้าฟ้างุ้มนั่นเอง เจ้าฟ้างุ้มทรงรวบรวมกำลังขณะอยู่ในเมืองพระนคร หรือเมืองเสียมราฐ และนำกองทัพนับพันกำลังเพื่อกู้ราชบัลลังก์กลับคืน และสถาปนาอาณาจักรล้านช้างขึ้นมาใหม่ และสถาปนาเมืองเชียงทองขึ้นเป็นราชธานีว่า กรุงศรีสัตนาคนหุตอุตตมราชธานี ต่อมาในรัชสมัยพระโพธิสารราชเจ้า พระองค์ได้ทรงอาราธนาพระบางซึ่งเดิมประดิษฐานอยู่ที่เมืองเวียงคำขึ้นมาประดิษฐานอยู่ที่เมืองเชียงทองอันเป็นนครหลวง เมืองเชียงทองจึงมีชื่อเรียกว่า "หลวงพระบาง" นับแต่นั้นมา


หลวงพระบางได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกด้วยเหตุผล คือ มีวัดวาอารามเก่าแก่มากมาย มีบ้านเรือนอันเป็นเอกลักษณ์โคโลเนียลสไตล์ ตัวเมืองตั้งอยู่ริมน้ำโขงและน้ำคาน ซึ่งไหลบรรจบกันท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม และชาวหลวงพระบางมีบุคลิกที่ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตร และมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่งดงาม หลวงพระบางทั้งเมืองได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกของมวลมนุษยชาติเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2538 และยังได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองที่ได้รับการปกปักรักษาที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ตักบาตรข้าวเหนียว

    
ทุกเช้าประเพณีที่สำคัญของชาวหลวงพระบาง คือการตักบาตรข้าวเหนียว เมื่อมาถึงหลวงพระบางเราก็ต้องไม่พลาด ตื่นแต่เช้าเดินออกมาด้านหน้าโรงแรม มีแม่ค้านำข้าวเหนียวใส่กระติ๊บและข้าวต้มมัด ขายเป็นชุด ๆ หากออกมาตอนสาย ๆ พระสงฆ์และสามเณรก็เดินกลับวัดแล้ว วันนี้เราออกประมาณหกโมงกว่า ออกมาสายจึงได้ใส่แค่วัดเดียว ราคาของใส่บาตรขายชุดละ 160 บาท สามารถจ่ายเป็นเงินบาทได้เลย

ตลาดเช้าเมืองหลวงพระบาง                                                                                                                                                                                                                                     ตลาดเช้าที่นี่มีของสด ของแห้ง ของกินที่สำหรับทานได้ทันที และผ้าซิ่น  ของจะคล้าย ๆ กับบ้านเรา ซึ่งหลายอย่างก็นำเข้ามาจากบ้านเรา



ร้านขายแหนมข้าว

ร้านขายขนมครก

ร้านกาแฟประชานิยม

     เดินต่อไปจนถึงร้านกาแฟประชานิยม ที่ใครที่มาเยือนหลวงพระบางต้องไม่พลาด เป็นร้านที่ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำโขง มีเมนู กาแฟ ชา ปาท่องโก๋  ข้าวเปียก คล้ายๆ ข้าวต้มเครื่องบ้านเรา ซึ่งที่นี่ราคาไม่แพงจึงเป็นร้านที่นักท่องเที่ยวชอบมานั่งกิน



พระราชวังหลวงพระบาง
ถนนศรีสว่างวงศ์ (Sisavangvong Road)

 พระราชวังหลวงพระบางเป็นอาคารที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมระหว่างฝรั่งเศสและลาว โดยพื้นที่ด้านในเป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับจัดแสดงประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของเมืองหลวงพระบาง และยังเป็นที่ตั้งสำคัญของ หอพระบางหอพระที่ประดิษฐาน พระบางพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวหลวงพระบาง การเข้าชมพิพิธภัณฑ์ห้ามนำกระเป๋าและกล้องถ่ายรูปเข้าไปด้านในยกเว้นหมวก เดินชมข้างในเป็นข้าวของเครื่องใช้ของเจ้ามหาชีวิต พระพุทธรูป อาวุธ เครื่องประดับ เครื่องดนตรี และห้องต่าง ๆ ถูกจัดแสดงไว้เพื่อให้ผู้เข้าชมได้เห็นถึงความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรม


ค่าธรรมเนียมเข้า: 30,000 กีบ
เวลาเปิด-ปิด: ปิดทุกวันอังคาร โดยเปิดให้เข้าชม 2 ช่วงเวลาต่อวัน คือ ช่วงเช้า เวลา 08.00 11.30 น. และช่วงบ่าย เวลา 13.30 16.00 น.

วัดใหม่สุวรรณภูมาราม
ถนนศรีสว่างวงศ์ (Sisavangvong Road)


     วัดใหม่สุวรรณภูมาราม หรือที่คนลาวเรียกสั้นๆ ว่า วัดใหม่เป็นวัดที่มีกำแพงหน้าอุโบสถสวยงามที่สุด กำแพงสีทองอร่ามนี้บอกเล่าเรื่องราวของพระเวชสันดรชาดกและรามเกียรติ์ได้อย่างดี ทำให้วัดใหม่สุวรรณภูมารามดูศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้นตั้งแต่เดินขึ้นมาที่ระเบียงอุโบสถ 


ส่วนภายในประดิษฐานพระพุทธรูปประธาน เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง คนลาวเรียกว่า พระเอ้และพระพุทธรูปทรงเครื่องต้นอย่างพระมหาจักรพรรดิ ศิลปะรัตนโกสินทร์ ส่วนผนังด้านในประดับพระพิมพ์ปิดทององค์เล็กๆ เป็นหมื่นองค์ รวมถึงภาพปูนปั้นปิดทองเรื่องพระเวสสันดรที่แฝงด้วยเรื่องราวการดำเนินชีวิตของชาวเมืองหลวงพระบาง

ค่าธรรมเนียม คนละ 10,000 กีบ 
เวลาเปิด – ปิดทำการ  เปิดทำการทุกวัน โดยให้เข้าชมได้ในเวลา 08.00 - 17.00 น.

วัดวิชุณราช

 วัดวิชุนราช ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวงพระบาง ถนนวิชุนราช สร้างขึ้นเมื่อ ปีพ.ศ. 2046 ในสมัยพระเจ้าวิชุนราช ในบรรดาวัดทั้งหมดในเมืองหลวงพระบางเป็นต้องยกนิ้วให้วัดวิชุนในเรื่องมีความแปลกที่พระธาตุรูปร่างโค้งมนเหมือนผลแตงโม และเจดีย์รูปทรงแปลกตานี้เอง ที่กระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรมของลาวยกให้มีความสำคัญและความโดดเด่นของวัดวิชุน 
วัดวิชุนราชนี้สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐาน พระบาง ซึ่งอาราธนามาจากเมืองเวียงคำ ภายในวัดวิชุนราชมีปทุมเจดีย์หรือพระธาตุดอกบัวใหญ่ ซึ่งพระนางพันตีนเชียง พระอัครมเหสีของพระเจ้าวิชุนราชโปรดฯให้สร้างขึ้นในพ.ศ. 2057 หลังจากสร้างวัดแล้ว 11 ปี ด้วยรูปทรงของเจดีย์มีลักษณะคล้าย

แตงโมผ่าครึ่งทำให้ชาวเมืองหลวงพระบางเรียกว่า พระธาตุหมากโม เป็นทรงโอคว่ำ ยอดพระธาตุมีลักษณะคล้ายรัศมีแบบเปลวไฟของพระพุทธรูปแบบลังกาหรือสุโขทัย บริเวณมุมฐานชั้นกลางและชั้นบนมีเจดีย์ทิศทรงบัวตูมทั่งสี่มุม พระธาตุหมากโมนี้มีสีดำเก่าๆ แม้จะเคยผ่านการบูรณะปฎิสังขรมาแล้วสองครั้ง ในปีพ.ศ.2402 รัชสมัยของเจ้ามหาชีวิตสักรินทร์(คำสุก) ซึ่งเป็นพระราชบิดาของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ อีก 19 ปีต่อมา ในปี พ.ศ.2457 ในรัชสมัยของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์มีการปฎิสังขรอีกครั้ง ซึ่งการบูรณะครั้งนี้พบโบราณวัตถุมากมาย เช่น เจดีย์ทองคำ พระพุทธรูปหล่อสำริด พระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปเงิน โดยเฉพาะพระพุทธรูปที่แกะสลักจากแก้วซึ่งคล้ายกับพระแก้วมรกต โบราณวัตถุเหล่านี้ได้นำถวายเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ และเก็บรักษาไว้ในพระราชวังหลวงพระบางในปัจจุบัน

พระอุโบสถ หรือที่ชาวลาวเรียกว่าสิม เป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระบาง ตัวอุโบสถมีรูปทรงอาคารไทลื้อสิบสองปันนา ซึ่งมีจุดเด่นคือส่วนคอชั้นสองจะยกระดับสูงขึ้นไป ส่วนบนหลังคาประดับด้วยโหง่(หรือช่อฟ้าแบบไทย) ตรงกลางหลังคามีช่อฟ้า เป็นรูปปราสาทยอดฉัตรเล็กๆ ลดหลั่นหลายชั้น หน้าต่างพระอุโบสถประดับด้วยลูกมะหวด บานประตูด้านหน้าทั้งสามช่องแกะสลักลงรักปิดทอง มีรูปพระศิวะ พระวิษณุ พระพรหม และพระอินทร์ ศิลปะแบบเชียงขวาง


พระประธาน หรือพระองค์หลวงในพระอุโบสถมีขนาดใหญ่ที่สุดในหลวงพระบาง ด้านหลังพระประธานมีโบราณวัตถุที่เก็บรวบรวมมาจากวัดร้างต่างๆ ในหลวงพระบาง เช่นพระพุทธรูปสำริด พวกไม้จำหลักลวดลายต่างๆ พระพุทธรูปไม้แกะสลักลงรักปิดทองสูงเท่าคนจริงจำนวนมาก
 สถานที่ตั้ง อยู่ใจกลางเมืองหลวงพระบาง
• ค่าเข้าชม 20,000 กีบ (ประมาณ 40 บาท)
• เปิดเวลา 07.00 –17.30 น.

วัดอาฮามอุตุมะธานี (วัดอาฮาม)


     พระอุโบสถวัดอาฮามสร้างโดยพระเจ้ามังทาตุราชในปีพ.ศ. 2365 ด้านข้างพระอุโบสถจะเป็นที่ตั้งของหอเสื้อเมืองหรือหอ ปู่เยอ-ย่าเยอหลังคามีลักษณะซ้อนกันอยู่ 3 ชั้นตรงกลางสันหลังคามีช่อฟ้ารูปทรงแปลกตาจากวัดทั่วไปในหลวงพระบาง ข้างบันไดทางขึ้นพระอุโบสถด้านหน้ามีรูปปั้นสิงห์ลอยตัว ทาด้วยปูนขาวถัดออกไปด้านข้างทั้งสองด้านเป็นรูปปั้นยักษ์ลอยตัวบางตำรากล่าวว่าเป็นทวารบาล พระอุโบสถได้รับการบูรณะในปีพ.ศ. 2474 และค้นพบโบราณวัตถุมีค่าหลายชิ้นที่ฝังอยู่ใต้พระอุโบสถ  และเคยเป็นที่ประทับของสังฆราชลาวในอดีต


     หน้าพระอุโบสถมีพระธาตุ 2 องค์องค์หนึ่งเป็นพระธาตุทรงแปดเหลี่ยมในอดีตมีหอคลุมอยู่ อีกองค์เป็นพระธาตุย่อมุมบริเวณมุมฐานทั้งสี่ด้านประดับด้วยเสารูปดอกบัว ด้านข้างวัดอาฮามมีประตูเล็กๆสามารถเดินเพื่อเข้าไปชม พระธาตุหมากโม ในเขตวัดวิชุลและพระอุโบสถได้อย่างสะดวก

บ้านผานม
ชาวลื้อที่หลวงพระบาง ถูกให้ย้ายไปตั้งบ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำคานนอกเมืองหลวงพระบาง และเรียกหมู่บ้านของตนว่า บ้านผานม ใช้ฝีมือทอผ้าซึ่งมีมาแต่ครั้งอยู่ในดินแดนสิบสองปันนา รับใช้ราชสำนักหลวงพระบาง โดยเป็นผู้ทอผ้าส่งให้เจ้านายในราชสำนักใช้ใส่ราชพิธีต่างๆ
    
 แม้ทุกวันนี้ ชาวบ้านผานมจะมิได้ทอผ้ารับใช้ราชสำนักแล้ว แต่หัตถกรรมผ้าทอจากบ้านผานม กลับมีชื่อเสียงเลื่องลือไปไกลในความงามของฝีมือและลวดลาย จนเป็นสินค้าซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดของเมืองหลวงพระบาง

     ที่ตั้ง อยู่ห่างจากศูนย์กลางเมืองหลวงพระบางเพียงแค่ 5 กิโลเมตร การเดินทาง แยกจากเส้นทางหลวงหมายเลข 13 เหนือก่อนถึงสะพานข้ามแม่น้ำคานเพียงเล็กน้อย เพียงไม่ถึง 2 กิโลเมตร จากทางแยกบนถนนทางหลวงหมายเลข 13 เหนือ ก็จะถึงหมู่บ้านผานม



น้ำตกตาดกวางสี


น้ำตกตาดกวางสี” หรือ น้ำตกกวางสี น้ำตกที่สวยที่สุดในหลวงพระบาง เป็นน้ำตกหินปูน สูงราว 70 เมตรมีสองชั้น สภาพป่าร่มรื่น มีสะพานและเส้นทางเดินชมรอบๆน้ำตกและสามารถเลาะข้างน้ำตกไปชมน้ำตกชั้นบนสามมารถเล่นน้ำบริเวณลำธารได้ นอกจากจะชื่นชมความงามของน้ำตกแล้ว ยังหาซื้อของที่ระลึกที่ทางเข้าน้ำตก ซึ่งเป็นสินค้าพื้นเมืองที่ทำจากไม่ไผ่เป็นของใช้หลายชนิด และมีร้านอาหารตามสั่งให้บริการอยู่หลายร้าน น้ำตกกวางชีมีน้ำตลอดปี ในฤดูร้อนน้ำจะน้อย

พระธาตุพูสี




 พระธาตุพูสีี ตั้งอยู่บนยอดเขาที่มีความสูงราว 150 เมตร ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงพระบาง บนยอดภูษีทำให้เห็นเมืองหลวงพระบางได้โดยรอบและเห็นสายน้ำโขง มีบันไดขึ้นยอดพูสี 328 ขั้น ตลอดทางขึ้นร่มรื่นไปด้วยต้นจำปา (ดอกไม้ประจำชาติลาว) หรือที่บ้านเราเรียกว่าต้นลั่นทม

จุดชมวิวแม่น้ำโขง จะอยู่บริเวณด้านหน้าตรงกับทางเดินขึ้นพูสี สามารถมองเห็นวิวหลวงพระบางได้โดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำ บ้านเรือน หรือรถที่วิ่งไปมาบนท้องถนน นอกจากนี้ยังสามารถนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินซึ่งเป็นบรรยากาศที่พลาดไม่ได้เมื่อได้มาเยือนหลวงพระบาง
ตลาดมืด
ลงจากพระธาตุพูสี ก็จะพบแผงขายของประเภทหัตถกรรมหลายประเภท เช่น งานไม้ ผ้าทอ หมวก รองเท้า เสื้อยืด กระเป๋าผ้าฝ้าย โคมไฟ และอาหารเครื่องดื่ม โดยจัดโซนไว้เป็นอย่างดี ทำให้เป็นแหล่งนิยมระดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกันมากทีเดียว ด้านในซอยจะมีอาหารมีราคาไม่แพงเกินไป














วัดเชียงทอง



วัดเชียงทองได้ถูกสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2103 โดยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์ผู้ครองอาณาจักรล้านช้างและล้านนา ก่อนที่พระองค์จะย้ายเมืองหลวงจากหลวงพระบางไปยังนครหลวงเวียงจันทน์ วัดนี้จึงถือว่าเป็น “วัดประตูเมือง” และท่าเทียบเรือด้านเหนือสำหรับการเสด็จประพาสทางชลมารคของกษัตริย์หลวงพระบางด้วย ทำให้วัดเชียงทองได้รับการอุปถัมภ์มาโดยตลอด

 และที่สำคัญยังเป็นวัดเดียวที่ไม่ถูกเผาทำลายในศึกฮ่อธงดำบุกปล้นเมืองหลวงพระบาง ใน พ.ศ. 2428 สิ่งก่อสร้างที่สำคัญ เช่น พระอุโบสถ ซุ้มประตูโขง พระธาตุ หอไหว้น้อย หอไหว้สีกุหลาบ หอไหว้หลังพระอุโบสถ หอกลอง หอราชโกศเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ฯลฯ ยังคงอยู่อย่างครบถ้วน และสมบูรณ์เหมือนเดิมทุกประการนับเป็นตัวแทนของศิลปะสกุลช่างล้านช้างที่งดงามและสมบูรณ์และเป็นความโชคดีของวัดเชียงทองอย่างยิ่ง


ຫໍພະມ່ານ


ຫໍພະມ່ານຕັ້ງຍູ່ດ້ານຫລັງພະອຸໂປສົດຄື ພາຍໃນປະດິດສະຖານ ພະມ່ານຊຶ່ງມີລັກສະນະຄ້າຍກັບ "ພະບາງ" ຈົນຫລາຍຄົນເຂົ້າໃຈຜິດຄິດວ່າເປັນອົງດຽວກັນ ໃນຊ່ວງມື້ບຸນຂຶ້ນປີໃໝ່ຂອງລາວ (ຊ່ວງມື້ສົງການ) ຈະມີການອັນເຊີນ ພະມ່ານລົງມາເພື່ອໃຫ້ປະຊາຊົນໄດ້ສົງນ້ຳ ແລະ ກາບໄຫວ້ ເລື່ອງພາຍໃນຝາດ້ານຫລັງວິຫານນີ້ເປັນພາບປະດັບແກ້ວສີ ເລົ່າເລື່ອງວິຖີຊີວິດຂອງຜູ້ຄົນ ສ້າງຂຶ້ນໃນປີ ..1950 ເພື່ອສະເຫລີມສະຫລອງ ທີ່ໂລກກ້າວສູ່ຍຸກເຄິ່ງພຸດທະການ ດ້ານຫລັງຫໍພະມ່ານ ເປັນທີ່ຕັ້ງຂອງພະທາດສີສະຫວ່າງວົງ ຊຶ່ງເປັນທີ່ເກັບອັດຖິຂອງເຈົ້າມະຫາຊີວິດສີສະຫວ່າງວົງແລະ ດ້ານທິດຕະເວັນອອກສຽງໃຕ້ຕິດກັບຮົ້ວເປັນໂຮງເກັບເຮືອໃກ້ກັບແຄມແມ່ນ້ຳຂອງ ສ່ວນດ້ານໜ້າພະອຸໂປສົດ ເປັນທີ່ຕັ້ງຂອງຫໍກອງມີລວດລາຍລົງຮັກປິດທອງສວຍງາມເທິງເສົາ


ประเพณีสรงน้ำพระม่าน

พระม่าน เป็นพระที่เร้นลับ เข้าชมได้ยากที่สุดในโลก หากใครจะชมการจะดูพระ ต้องเอาตาแนบเข้าตาทางช่องเล็ก ๆ ด้านหน้า ถ่ายรูปก็ยากเย็นแสนเข็ญ ในช่วงวันบุญขึ้นปีใหม่ของลาว(ช่วงวันสงกรานต์) จะมีการอัญเชิญ  “พระม่าน” ลงมาเพื่อให้ประชาชนได้สรงน้ำและกราบไหว้โดยนำออกมาให้ประชาชนได้สรงน้ำ วิธีสรงน้ำก็คล้ายกับสรงน้ำพระบาง  ประมาณ 7 วัน แล้วจึงอัญเชิญขึ้นบนหอพระม่านดังเดิม

วัดแสนสุขาราม
ที่ตั้ง ถนนเชียงทอง

วัดแสนสุขาราม สร้างขึ้นในพ.ศ. 2261 ตามประวัติกล่าวว่าชื่อของวัดมาจากเงินจำนวน 100,000 กีบ ที่มีผู้บริจาคให้เป็นทุนเริ่มสร้างขึ้นภายหลังที่นครหลวงพระบางแยกออกจากนครเวียงจันทน์ได้ 11 ปี โดยวัดแสนสุขารามได้รับกาสรบูรณะ 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2475  ครั้งที่สองเมื่อพ.ศ.2500 ส่วนการประดับลวดลายปิดทองนั้นบูรณะเมื่อคริสศตวรรษที่ 20 โดยช่างชาวหลวงพระบาง

จุดเด่นของวัดแสนสุขารามคือ พระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่ ที่มีอยู่เพียงองค์เดียวในหลวงพระบาง มีพระหัตถ์ที่งดงามผ่องแผ้ว และหอรอยพระพุทธบาทจำลองด้านข้างหอพระยืน ส่วนพระอุโบสถลงรักปิดทองอย่างสวยงาม จัดเป็นศิลปะแบบหลวงพระบางตอนกลาง สังเกตได้จากเสาทรงแปดเหลี่ยม และยอดเสารูปกลีบบัว ส่วนผนังภายในพระอุโบสถตกแต่งด้วยการเขียนภาพสีทองลงบนพื้นแดง โดยตรงกลางเป็นที่ประดิษฐานพระประธานหรือพระองค์หลวง เป็นวัดเก่าแก่ที่ถูกสร้าง ภายหลังหลวงพระบางแยกออกจากนครเวียงจันทร์เมื่อ 11 ปีที่แล้วเป็นอีกอาณาจักรหนึ่งก่อนหน้านั้นบริเวณที่สร้างวัดแสนสุขารามมีวัดเก่าอยู่ก่อนหน้านั้นสร้างขึ้นเมื่อคริสศตวรรษที่ 15 สร้างให้วัดแห่งนี้มีความสวยงามและน่าสนใจไม่น้อยเลย

ชมสถาปัตย์โคโลเนียลสไตล์



สิ่งที่น่าสนใจของเมืองหลวงพระบางก็คือการวางรูปแบบผังเมือง ที่ถูกจัดระบบและวางไว้เป็นอย่างดีจะเห็นได้จากวัดวาอารามเก่าแก่ที่งดงาม อาคารบ้านเรือนที่ผสมผสานกันระหว่างสองซีกโลก คือ บ้านเรือนแบบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กับบ้านเรือนสไตล์โคโลเนียล อย่างตะวันตกเป็นเอกลักษณ์เฉพาะแบบลาวโคโลเนียลอันเป็นความงามเฉพาะตัว (พจน์  ใจชาญสุขกิจม.ป.ป.: เว็บไซต์) ซึ่งมีความแตกต่างกับบ้านของคนลาวเป็นอย่างมาก ซึ่งในขณะที่บ้านของลาวเรือน หรือ "เฮือน" ได้มีความคล้ายคลึงกับบ้านในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ คือ ไทย พม่า และลาว ส่วนใหญ่เป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูงสำหรับหน้าน้ำ เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


จึงสะท้อนให้เห็นว่าการที่สถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลที่แพร่กระจายทางวัฒนธรรมตามประเทศที่เป็นักล่าอณานิคมอย่างเช่นฝรั่งเศส ก็มิได้เป็นสิ่งที่เสียหายกับท้องถิ่นหลวงพระบางแต่อย่างใด แต่กลับกลายเป็นว่าสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลนี้ เป็นสไตล์ที่ยังคงความคาสสิคได้ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นของลาวได้อย่างลงตัว


        ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว บ้านแบบโคโลเนียลของฝรั่งเศสที่สร้างอยู่ในเมืองหลวงพระบางจะมีความแตกต่างทางด้านชาติพันธุ์ของการสร้างสถาปัตยกรรมของลาวก็ตาม แต่ด้วยการยอมรับและปรับตัวของคนท้องถิ่นหลวงพระบางจนเกิดความเคยชินของผู้คนในแถบนั้น จึงทำให้สถาปัตยกรรมสองสไตล์ (ฝรั่งเศส-ลาว) อยู่ร่วมกันได้ จนก่อให้เกิดมูลค่าในด้านการปรับใช้อาคารแบบโคโลเนียลให้เป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟ และอื่น ๆ ที่สร้างความสวยงามและโดดเด่นในหลวงพระบาง ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งนี้

วัดป่าโพนเพาวนาราม


       วัดป่าโพนเพา นอกจากจะเป็นจุดชมวิวของเมืองหลวงพระบางแล้ว ในเดือนอ้าย (ธันวาคมของทุกๆ ปี) มีการจัดงานประเพณี "บุญเข้ากำ" (บุญเข้ากรรม) เป็นกิจกรรมของสงฆ์ เรียกว่า เข้าปริวาสกรรม” โดยให้พระภิกษุสงฆ์ที่ต้องอาบัติ (กระทำผิด) สังฆทิเสส ได้สารภาพต่อหน้าคณะสงฆ์เพื่อเป็นการฝึกจิตสำนึกถึงความบกพร่องของตน แล้วปรับตัวประพฤติตนให้ถูกต้องตามพระวินัย

      





พิธีเข้าปริวาสกรรมกำหนดไว้ 9 ราตรี กำหนดให้พักอยู่ในสถานที่สงบ ไม่มีคนพลุกพล่าน (อาจเป็นบริเวณวัดก็ได้) โดยมีกุฏิชั่วคราวเป็นหลังๆ พระภิกษุสงฆ์เข้าปริวาสกรรมคราวหนึ่งๆ จะมีจำนวนเท่าใดก็ตาม แต่ต้องได้แจ้งให้พระภิกษุสงฆ์จำนวน 4 รูป ไว้ก่อนว่าตนเองจะเข้ากรรม และเมื่อถึงเวลาออกกรรมจะมีพระสงฆ์ 20 รูป มารับออกกรรม เรียกว่า สวดอัพภาณแปลว่า รับกลับเข้าพวก
      พิธีทำบุญเข้ากรรมไม่ถือว่าเป็นการล้างบาป แต่เป็นการปวารณาตนว่าจะไม่กระทำผิดอีก ส่วนกิจของชาวพุทธในบุญเข้ากรรมนี้คือการหาข้าวของเครื่องอุปโภค-บริโภคมาถวายพระ เชื่อว่าจะได้บุญมากกว่าการทำบุญตักบาตรทั่วไป

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
1.  สกุลเงิน กีบ 1 บาท เท่ากับ 274 กีบ (ข้อมูลวันที่ 26 เม.ย.62) เป็นแบงก์ 50000 20000 10000 5000 2000 และ 1000 ไม่ใช้เหรียญ สามารถใช้เงินบาทจ่ายได้เลย 
2. ขับรถชิดเลนขวา พวงมาลัยอยู่ด้านซ้าย
3. อาหารนิยมใส่ผงนัวหรือผงชูรสในอาหาร เช่น  เฝอ ข้าวเปียก ข้าวซอย
4. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทุกจะรู้จักในแบรนด์ เบียร์ลาว คนไทยชอบอ่านเขยลาว 
5. น้ำดื่มราคาแพงกว่าบ้านเราเท่าตัว
6. ตนส่วนใหญ่ใช้ภาษาลาว เช่น คำทักทาย สะบายดี หรือซำบายดี ฟังภาษาไทยเข้าใจ

บทสรุปส่งท้าย

เมืองหลวงพระบางเมื่อได้ไปเยือน ความรู้สึกแรกคือ ประทับใจเมืองนี้เงียบดี สงบจัง ไม่มีเสียงแตรรถ ผู้คนพูดจาช้า ๆ เดินช้า ๆ ทำให้รู้สึกสบายใจ สบายตา ความประทับใจอีกอย่าง คือ อาคารบ้านเรือนที่สวยงามที่ถูกจัดไว้อย่างสวยงาม เหมาะสมกับการเป็นเมืองมรดกโลก ผู้คนมีน้ำใจ อัธยาศัยไมตรีดี และทีีสุดของทริปนี้คือ มีโอกาสได้สรงน้ำพระม่าน นับว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความอิ่มเอมใจ เป็นบุญได้สรงน้ำพระที่ถือว่าเป็นพระที่เร้นลับที่สุดในโลก หากมีโอกาสก็อยากจะเป็นเยือนเมืองหลวงพระบางอีก เป็นการท่องเที่ยวที่เหมือนได้ไปพักผ่อนจริง ๆ 
                                        💚#####################💚

ที่มาข้อมูล
http://www.nuac.nu.ac.th/v3/?p=2330
https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=189
http://www.oceansmile.com/Lao/Makmo.htm
http://moonfleetasia.blogspot.com/2017/06/18062560-wat-aham-luang-prabang-laos.html


 บทความที่ผ่านมา













ขอบคุณสำหรับการติดตาม